<<>> ไฮไลท์:

  • ลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กำลังจะขึ้นชกไฟต์ประวัติศาสตร์อีกครั้ง กับการพบกับ คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ยอดนักชก MMA ในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ตามเวลาประเทศไทย

 

  • ฟลอยด์ในวัยเด็กต้องพบปัญหาครอบครัว ตั้งแต่อาเอาปืนลูกซองยิงขาของพ่อเขา จนถึงพ่อค้ายา และแม่เสพยาอย่างหนัก

 

  • บนเวทีฟลอยด์ดูเหมือนจะเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี และเหมือนจะดูถูกคู่ชกทุกครั้ง แต่ความจริงแล้วเขาเป็นนักมวยเจ้าระเบียบ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และ ทำงานอย่างหนักตลอด 21 ปีที่ผ่านมา เขารักษาสถิติเป็นนักชกไร้พ่ายด้วยการวางแผนคู่ชก และการฝึกซ้อมที่เขาเองยืนยันว่าไม่มีใครซ้อมหนักเท่าเขา

 

     “เราไม่ได้จะพูดถึงการเป็นสุดยอดแค่ 1 ปี 2 ปี 3 ปี หรือ 4 ปี แต่เรากำลังพูดถึง 21 ปี เขาบอกว่าผมอ่านหนังสือไม่ออก แต่ผมเก่งตัวเลข ผมทำเงินได้”

 

     เป็นหนึ่งในไฮไลต์การปะทะกันบนเวทีของ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ยอดนักชกไร้พ่าย และแชมป์โลก 5 รุ่น ที่กำลังจะขึ้นชกมวยสากลกับ คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ยอดนักชก MMA ชาวไอริช ที่นอกจากฝีมือการต่อสู้แบบผสมแล้ว ยังมีความสามารถในการโปรโมตตัวเองด้วยฝีปากที่เก่งพอๆ กัน

 

     แต่เวลา 21 ปีของฟลอยด์กว่าจะพาเขามาถึงจุดที่สามารถทำเงินมหาศาลจากการขึ้นชกไฟต์พิเศษในวัย 41 ปีนั้นไม่ใช่เพียงเพราะพรสวรรค์ที่เขามี แต่เป็นการบริหารจัดการชีวิตนักสู้ของเขาอย่างยอดเยี่ยม และการทำในสิ่งที่พูดได้เกือบทุกครั้ง

 

โทนี่ ซินแคลร์ เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับปืนลูกซอง และเอามาจ่อที่หน้าของฟลอยด์ผู้พ่อ ขณะที่ฟลอยด์ จูเนียร์ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 23 เดือนกอดขาพ่อไว้เนื่องจากตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

 

Photo: มาร์กราลสตัน / เอเอฟพี

 

เติบโตมากับลูกปืน ยาเสพติด และครอบครัวนักสู้

 

     ที่ Grand Rapids รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐฯ มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่มักจะถูกอุ้มขึ้นมาโดยผู้คนในค่ายมวยสากล แต่ทุกคนไม่ได้อุ้มเขาขึ้นเพราะความเอ็นดู แต่กลับอุ้มขึ้นมาวางบนกล่องกระดาษ เพื่อให้เด็กคนนั้นสูงพอที่จะชกสปีดแบ็ก หรือชกเป้าให้ถึง

     มวยคือสิ่งที่เด็กคนนี้ชื่นชอบตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากทั้งพ่อและอาของเขา เป็นยอดนักชกที่เคยเป็นแชมป์โลกด้วยกันทั้งคู่

 

     “ผมจำไม่ได้ว่าพ่อผมเคยพาผมไปทำอย่างอื่นนอกจากซ้อมมวย เช่น พาไปเดินเล่นในสวนหรือดูหนัง หรือแม้กระทั่งพาไปกินไอศกรีม ผมคิดมาตลอดว่าพ่อผมรักน้องสาว (ลูกพี่ลูกน้อง) ของผมมากกว่า เพราะเธอไม่เคยโดนทำโทษเหมือนที่ผมโดน” ฟลอยด์ได้เล่าถึงชีวิตในวัยเด็กของเขากับการเติบโตมาในครอบครัวนักมวย

 

     ชีวิตในวัยเด็กของฟลอยด์เริ่มต้นด้วยความรุนแรง ในปี 1978 หลังจากที่ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ซีเนียร์ พ่อของฟลอยด์ ซึ่งขณะนั้นกำลังก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการเตรียมขึ้นชกกับ ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด (Sugar Ray Leonard) ยอดนักมวยแห่งยุค ได้เกิดการทะเลาะวิวาทกับ โทนี่ ซินแคลร์ อาของฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

 

     โทนี่ ซินแคลร์ เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับปืนลูกซอง และเอามาจ่อที่หน้าของฟลอยด์ผู้พ่อ ขณะที่ฟลอยด์ จูเนียร์ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 23 เดือนกอดขาพ่อไว้เนื่องจากตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

     ฟลอยด์ผู้พ่อจึงได้ร้องขอชีวิตโดยกล่าวกับผู้ถือปืนว่า  

 

     “ถ้าคุณจะฆ่าผม คุณก็จะฆ่าเด็กคนนี้ด้วย”

 

     ภายหลัง ฟลอยด์ ซีเนียร์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า

 

     “ผมไม่มีทางวางเด็กคนนั้นลง เพราะผมไม่อยากตาย มันไม่ใช่ว่าผมเอาลูกผมมาเป็นเกราะกันกระสุน แต่ผมรู้ว่าซินแคลร์จะไม่มีทางยิงเด็ก ไม่นานหลังจากนั้น ซินแคลร์ก็ยอมลดปืนลงจากหน้าของผมไปที่ขา และ ปัง!!!!”

     กระสุนปืนนั้นทำลายกล้ามเนื้อน่องในขาซ้ายของฟลอยด์ ซีเนียร์ เกือบทั้งหมด และนั่นก็คือจุดจบของอาชีพมวยสากลของฟลอยด์ ซีเนียร์ เขาชกต่อได้ถึงปี 1985 ก่อนที่จะยุติอาชีพนักมวย และปัญหาทางการเงินของเขาก็เริ่มขึ้นในปีนั้น

 

     เมื่อฟลอยด์ จูเนียร์ เริ่มเข้าโรงเรียนระดับประถมศึกษา ความสามารถในการชกมวยของเขาก็เริ่มเด่นชัดขึ้น โดยกิจกรรมหลักของพ่อลูกคู่นี้คือการชกมวย แต่ท่ามกลางเส้นทางสู่การเป็นนักมวยของฟลอยด์นั้นไม่ง่าย เนื่องจากปัญหายาเสพติดภายในครอบครัว โดยแม่ของฟลอยด์เสพยาอย่างหนัก และพ่อของเขาเป็นคนขายยาให้กับแม่

 

     ปี 1993 ระหว่างที่อาชีพนักมวยของฟลอยด์กำลงจะเริ่มต้นขึ้น พ่อของเขาก็ต้องโทษจำคุกด้วยข้อหาค้ายาเสพติด และแม่ของเขาก็โดนข้อหาเสพยาเช่นกัน

 

 

ไฟต์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาในปี 2007 กับ ออสก้า เดอลาโฮย่า

Photo: กาเบรียลบอยส์ / เอเอฟพี

 

 

จากการต่อสู้ในบ้านสู่เวทีมวย

     จากความวุ่นวายในบ้าน ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เริ่มเจอหนทางสู่ความสงบในเวทีมวยสากล

     ฟลอยด์ จูเนียร์ หรือฉายา Pretty Boy เริ่มต้นชกมวยด้วยสไตล์ที่รวดเร็ว และแม่นยำ ส่งผลให้เขาคว้าแชมป์ Golden Gloves ถึงสามสมัยในปี 1993 1994 และ 1996  

 

   หลังจากที่เขาทำสถิติชก 90 ครั้งชนะ 84 แพ้ 6 เส้นทางของนักมวยสากลสมัครเล่นของเขาก็จบลงหลังจากความพ่ายแพ้ในการแข่งขันโอลิมปิกที่แอตแลนต้าในปี 1996 และคว้ามาได้เพียงเหรียญทองแดง เป็นสัญลักษณ์ของความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของเขา

 

     ฟลอยด์ เริ่มต้นชกมวยอาชีพเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมปี 1996 เขาสร้างความสำเร็จโดยมีพ่อ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ซีเนียร์ และ โรเจอร์ เมย์เวทเธอร์ อาของเขาคอยเป็นผู้ฝึสอนและผู้จัดการ ในปี 1998 เขาก็คว้าแชมป์สภามวยโลกหรือ WBC ได้สำเร็จในรุ่น Super welterweight

 

     หลังจากปี 2000 ความสำเร็จบนเวทีของเขาก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคว้าแชมป์สภามวยโลก WBC รุ่นLightweight ในปี 2002 แชมป์สภามวยโลกรุ่น Super lightweight ในปี 2005 แชมป์โลก IBF IBO WBC และ IBA ในรุ่น Welterweight ในปี 2006 จนมาถึงปี 2007 เขาสามารถเอาชนะ ออสก้า เดอลาโฮย่า ยอดนักชกแห่งยุค และคว้าแชมป์สภามวยโลกรุ่นซูเปอร์เวลเทอร์เวตไปครอง

 

     นอกจากนี้นักมวยที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน อาทิ ริกกี้ ฮัตตัน, แซบ จูดาห์, ฮวน มานูเอล มาร์เกวซ, อาร์ตูโร กัตติ, ดีเอโก คอร์ราเลส, มิเกล คอตโต้, ซาอูล อัลวาเรซ, มาร์กอส ไมดานา, แมนนี่ ปาเกียว ฟลอยด์ก็สามารถเอาชนะได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการชนะคะแนนหรือชนะน็อก

 

 

Photo: จอห์นเกอร์ซินสกี / เอเอฟพี

 

     ความสำเร็จของเขาต่อยอดไปสู่เม็ดเงินในธนาคาร โดยปี 2010 เขาเป็นนักกีฬาอาชีพที่มีรายได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และในปี 2015 ในไฟต์หยุดโลกที่เขาเอาชนะ แมนนี่ ปาเกียว เขาก็สร้างรายได้จากไฟต์นั้นไปถึง 240 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

บนเวที ฟลอยด์ดูเหมือนจะเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี และเหมือนจะดูถูกคู่ชกทุกครั้ง แต่ความจริงแล้วเขาเป็นนักมวยเจ้าระเบียบ ซึ่งไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และทำงานอย่างหนักตลอด 21 ปีที่ผ่านมา

 

Photo: เฮคเตอร์มาตา / เอเอฟพี

 

“เป้าหมายของผมคือการเป็นนักสู้ที่ดีที่สุดตลอดกาล”

 

     เป็นคำพูดเดียวกับที่ แคสเซียส เคลย์ (มูฮัมหมัด อาลี) อดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวตผู้ยิ่งใหญ่เคยได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Soul of a butterfly หนังสืออัตชีวประวัติของเขาเองเล่าถึงความมุ่งมั่นในวัยเด็กของเขา

 

     ไม่ต่างกับฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ซึ่งนอกจากจะสร้างสถิติชก 49 ครั้งชนะ 49 ครั้งบนเวทีมวยสากลมาตลอด 21 ปี แต่ฟลอยด์เป็นคนที่เชื่อมั่นในความสามารถของเขา แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากนักกีฬาทั่วไปคือความทุ่มเทของเขา

     บนเวที ฟลอยด์ดูเหมือนจะเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี และเหมือนจะดูถูกคู่ชกทุกครั้ง แต่ความจริงแล้วเขาเป็นนักมวยเจ้าระเบียบ ซึ่งไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และทำงานอย่างหนักตลอด 21 ปีที่ผ่านมา

 

     ฟลอยด์จะพูดกับแฟนคลับของเขาเสมอว่า Hard Work Dedication หรือ ทำงานหนัก และมีความทุ่มเท ซึ่งจากคำบอกเล่าของโค้ชในค่ายของฟลอยด์ ฟลอยด์ซ้อมชกในยิมวันละ 4 ชั่วโมง ต่อด้วยขึ้นชกล่อเป้าและลงนวมอีก 10 ยก ต่อด้วยการเข้ายิมฟิตเนสอีก 4 ชั่วโมง โดยโฟกัสการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความฟิต ต่อด้วยการชกกระสอบทรายอีก 2,000 ครั้ง และปิดท้ายด้วยการวิ่งอีก 10 ไมล์ เพื่อเตรียมพร้อมขึ้นชก

 

     “ไม่มีใครทำงานหนักกว่าผมอีกแล้ว” คือสิ่งที่ฟลอยด์มักจะพูดทุกครั้งในระหว่างการฝึกซ้อมก่อนขึ้นชก ทั้งที่จริงๆ แล้วฟลอยด์เป็นนักมวยที่มีพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่ง แต่ความสำเร็จไม่เคยทำให้ความมุ่งมั่นของฟลอยด์ลดลงแม้แต่น้อย..ยังไม่จบนะครับ มีต่อบทสรุปเรื่องราว ตอนนี้พักการอ่าน แล้วไปเสพเรื่องอื่นกันก่อน  นะครับ..

 

News_NIK-300x300

@ ดิษยุตม์ ธนบุญชัย
Content Creator สำนักข่าว THE STANDARD

 

เชิญแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ

comments