-@@- คงต้องยอมรับกันว่า เรื่องราวการตัดสินใจของ “บัวขาว บัญชาเมฆ” ยอดมวยไทยแห่งยุค ผู้หาญกล้าแหกกฎ โดดหนีลงจากเวทีหลังการชก โดยไม่ยอมฟังคำตัดสิน ในการชกมวย “เค-วัน เวิลด์ แม็กซ์ ไฟนัล 2014” ที่พัทยา เมื่อคืนวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมานั้น กลายเป็นข่าวที่สนใจไปทั่วโลก โดยเฉพาะในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คกันไปแล้ว

 

1

 

 

ล่าสุดการที่เขาออกมานั่งแถลงข่าวแจงเหตุ การตัดสินใจของตนเอง พร้อมย้ำชัดไม่มีใครข้องเกี่ยว ยุยง ถือเป็นเรื่องที่ ยอดมวยวัย 32 ผู้นี้ช่างมีความกล้า และกล้าที่จะยืนหยัด รับผิดชอบด้วยตัวเองตามลำพัง..!!

 

 

 

ผมอยากเขียนถึงเขาอีกครั้ง แต่ขอเรียกในนาม “บัวขาว ป.ประมุข” ที่คุ้นเคย หากย้อนไปราวปี 2006 หรือราวๆ 8 ปีก่อน ผมและคุณเพลิน คงเค็ด ช่างภาพ “นสพ.ข่าวสด” ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมการซ้อมของเขา ที่ค่าย ป.ประมุข ริมฝั่งน้ำบางปะกง ค่ายมวยที่โชยไปด้วยกลิ่นตลบอบอวลของคอกหมู ซึ่งคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณใดๆให้มากความ ว่ามันจะน่าพิสวาทสักแค่ไหน (แล้วนักมวยทนซ้อมอยู่ได้อย่างไรหน่ะ ..??)

 

 

 

“เจ้าดำ” หรือ บัวขาวในวันนั้น เตรียมตัวสำหรับศึกใหญ่ ไฟต์สำคัญคือการไปไล่ล่าแชมป์ เค-วัน (K-1 World Max 2006 ) หลังจากเขาเคยได้แชมป์สมัยแรกมาแล้วในปี 2004 และ พลาดท่าพ่าย แอนดี้ ซอเยอร์ ไปอย่างน่าชนะ ในรอบชิงปี 2005

บัวขาวเล่าประวัติความเป็นมา ชีวิตยากแค้นในวัยเยาว์ ที่แม่ต้องพามาฝากชกมวยที่ค่ายของ”กำนันแก๊”ประมุข โรจนตัณฑ์ ตั้งแต่เด็ก และเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าดำเด็กน้อยได้ร่ำลากับมารดา เพราะหลังจากนั้นเมื่อแม่กลับไปได้ถูกอุบัติเหตุรถชนจนถึงแก่ชีวิต..!!

 

 

 

พรหมลิขิตขีดโชคชะตาให้เขาต้องเดินไปข้างหน้า ทุ่มเทให้กับคำว่า”มวย” เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เหลือในชีวิต จนประสบความสำเร็จได้แชมป์เค-วัน แจ้งเกิดที่ญี่ปุ่นอย่างยิ่งใหญ่ (ในปี 2004 รวมทั้งในปี 2006 นั้นด้วย) ซึ่งในยุคนั้นเควันเฟื่องฟูมีเงินรางวัลล่อใจไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท แลกด้วยเลือด หยาดเหงื่อและความเจ็บปวด สำหรับผู้เป็น”แชมเปี้ยน”

 

10712837_10205261489882515_7436155089576349264_n

 

 

เมื่อเงินมา มีชื่อเสียง มุมมองในความคิดเห็นของทีมงาน จึงเริ่มเห็นต่าง สุดท้าย “บัวขาว” ตัดสินใจเตลิดขับ BMW มือสองคู่กายบึ่งจากค่ายไปในกลางดึก ก่อนจะเป็นข่าวใหญ่เปิดตัวประกาศตัดขาดต้นสังกัดเดิม ขอ”ความเป็นไท”ให้กับชีวิต ที่ต้องทนยึดติดอยู่กับกลิ่นสาปนวม การฝึกซ้อมมาตลอดข้างๆคอกหมูเกือบค่อนชีวิต…

 

 

 

เหมือนฟ้าเปิด ชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่ ได้รับอิสระ ยิ่งได้เพื่อนสนิทโดดเข้ามาหยิบยื่นโอกาส ในเส้นทางอย่างที่ “ซุปตาร์” จะก้าวเดิน บัวขาว ได้สัมผัสวงการบันเทิง ทั้งโชว์ตัว พรีเซนเตอร์ โฆษณา ไปจนถึงดาราภาพยนตร์ ทำเงินมากมายมหาศาล แบบไม่ต้องเจ็บตัวเหมือนการชกมวย

ชีวิตนั้นพลิกฝ่ามือจาก เด็กสุรินทร์คนจนกำพร้าแม่ กลายเป็นคนดังทั้งในวงการกีฬา และบันเทิงไปอย่างเหลือเชื่อ ซ้ำยังเป็นบุคคลที่โด่งดังไปทั่วโลก ในฐานะสื่อสัญลักษณ์ของ “นักมวยไทย” .. !!

 

 

 

ด้วยความมีระเบียบวินัย การฝึกซ้อม กอปรพรสวรรค์ในเชิงมวยไทยที่ครบเครื่อง เสริมส่งให้แฟนมวยยิ่งเฉพาะในญี่ปุ่น และยุโรป ยกให้ “บัวขาว ป.ประมุข” เป็นเทพเจ้า หรือไอดอลของลูกผู้ชายตัวจริง

และก็เพราะ เส้นทางของการชกมวยอีกนั่นแหละ ที่ทำให้เขาต้องมีปัญหากับสัญญา”ไทยไฟต์” เป็นการย้อนศร หลังจากเคยถูกเขียนบทให้ “ดราม่า” ขึ้นเวทีประกาศตัดขาดกับ ต้นสังกัด “ป.ประมุข” ก่อนหน้านี้

 

 

 

กระทั่งล่าสุด “บัวขาว” ก็ยังไม่วาย กลายเป็นข่าวฮือฮาขึ้นมาอีก จากการชกในเควัน เวิลด์ แม็กซ์ 2014 ด้วยการหนีลงจากเวทีโดยไม่ยอมรอฟังผลการตัดสิน ในการชกกับคู่ปรับเยอรมัน “เอ็นริโก้ เคห์ล” สร้างความพิศวงให้กับผู้คนทั่วไปที่ชมการถ่ายทอดสด รวมทั้งแฟนๆอีกทั่วโลกที่ติดตามข่าวครั้งนี้

 

 

 

ชีวิตจริงของ “บัวขาว” นั้น เปรียบได้กับ”ผ้าขาว” ที่รอคนแต่งแต้ม และชี้แนะ ว่าจะไปในทางใด แต่ทั้งนี้ล้วนขึ้นอยู่กับความพอใจและตัดสินใจของตนเป็นสำคัญ

แต่การที่เขาขึ้นเวที แถลงข่าวครั้งล่าสุด ด้วยตัวลำพังเพียงคนเดียว พร้อมยืนยันย้ำชัด ว่าไม่มีใครเกี่ยงข้องนั้น .. มองไปช่างเปรียบเสมือนทอดทิ้งให้ เขาตัดสินใจ เพียงลำพัง

 

1901180_10205261496642684_4899334339386317797_n

 

 

บางประโยคทุกวรรคตอน แม้ดูเหมือนการท่องจำจากบทสคริปชี้นำ แต่เชื่อว่า บัวขาวก็คงพยายามเค้นความรู้สึกออกมาจากใจอย่างแท้จริง

เพียงแต่ผม รู้สึกหดหู่ และปวดใจแทนนิดเดียวเท่านั้น .. เหตุใดในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่มี แม้คนที่เชื่อใจ พร้อมเป็นเพื่อนแท้ หรือเพื่อนตาย มานั่งเป็นกำลังใจข้างกายเขาเลยสักคน..!?!?

 

ปล. ภาพ – เพลิน คงเค็ด
เรื่อง – สอดสร้อย สาวสังเวียน

เชิญแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ

comments