-@@_ ในที่สุด วิจารณ์ พลฤทธิ์ นักชกฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2000 วัย 38 ปีก็ได้ “ตัวน้อย” มาเติมเต็มความสุขในชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากภรรยา “จุฬาพร” ให้กำเนิดลูกสาว “ฐานิตา” หรือ “น้องชาม” เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา

เป็นความสำเร็จหลังจากพยายามมาตั้งแต่ปี 2543 ในปีที่ตัวเองคว้าเหรียญทองและประกาศ “แขวนนวม” ทันที

 

 

 

10 กว่าปีที่ผ่านมา วิจารณ์ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่เป็นไปด้วยความฉลาดเหมือนกับการชกมวยจนได้รับฉายา “อิ๊กคิวซัง”

ลองไปดูชีวิต วิจารณ์ พลฤทธิ์ ในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

มีคนถามไถ่กันเยอะเลยว่าทำไมเก็บตัวเงียบอย่างนี้?

“ผมไม่ได้หลบหน้าหลบตาอะไรเลย เพียงแต่ไม่ได้ทำตัวให้เป็นข่าวเท่านั้นเอง(หัวเราะ) ผมก็ออกทุกงานที่มาเชิญไปนะ เพียงแต่ผมเป็นคนเงียบๆ เท่านั้นเอง”

 

“ศรี” เป็นชื่อเล่นที่คนวงการมวยไทยเรียกขานกัน โดยย่อมาจาก ศรีสัชณาลัย แท็กซี่มิเตอร์ ซึ่งเป็นชื่อสมัยที่ชกมวยไทย แต่เพื่อนที่โรงเรียนจะเรียกว่า “จารณ์”

 

วิจารณ์ย้อนเรื่องราวให้ฟังเป็นฉากๆ ตั้งแต่ก่อนได้เหรียญทอง “ซิดนีย์เกมส์” ว่า หลังจาก พ.ต.อ.เสวก ปิ่นสินชัย ผู้จัดการของตัวเองสมัยชกมวยไทยได้ให้ลองสวมรองเท้าชกมวยสากลสมัครเล่น ก็ไม่เคยคิดว่า จะเอาดีทางนี้ได้เลย เพราะในรุ่นเล็กที่ชกอยู่มีนักมวยฝีมือดีกว่าอยู่หลายคนไม่ว่าจะเป็น ประมวลศักดิ์ โพธิ์สุวรรณ หรือแม้แต่ สมจิตร จงจอหอ (เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2008)

 

“ผมว่าผมดวงดีนะ ตอนไปชกมวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์ประเทศไทย ตกแค่รอบสอง แต่กลับถูกเรียกตัวติดทีมชาติ ตอนติดทีมชาติก็เป็นนักมวยระดับชุดบี ชุดซี ติดทีมชาติไปชกซีเกมส์ที่บรูไนแบบฟลุ้กๆ เพราะชุดเอ ต้องไปชกรายการเวิลด์แชมเปี้ยนชิพที่สหรัฐอเมริกาในช่วงเดียวกัน สมาคมมวยฯเลยส่งชุดบี

 

13990240811399024125l

 

ปแข่งซีเกมส์แทน ผมก็ได้เหรียญทองมา ก่อนไปชกคัดตัวโอลิมปิกเกมส์ที่มีคัดตัว 3 เลก เลกแรกสมจิตรติดทีมไป แต่คัดไม่ติด เลกสอง ประมวลศักดิ์เป็นตัวแทนไป แต่ก็คัดไม่ผ่านเหมือนกัน เลกสามเป็นคิวของผม ปรากฏว่า ผมคัดติด เลยได้เป็นตัวแทนไปแข่งโอลิมปิกเกมส์ 

 

 และพอคัดติดปุ๊บ ผมก็ตั้งใจมาก สมาคมมวยฯพานักมวยทั้งหมดไปตระเวนแข่งและเก็บตัวต่างประเทศนานถึง 6 เดือน ตรงนั้นแหละที่ทำให้ผมพัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างมาก ได้เจอกับนักมวยหลากหลาย หลากสไตล์ อีกทั้งฮวน ฟอนตาเนียล โค้ชคิวบา ก็ได้ขัดเกลาเทคนิค เชิงชกให้ผม จนผมดีขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า การไปเก็บตัวต่างประเทศทำให้ผมได้ประสบการณ์มากมายทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แทบจะไม่เคยชกกับมวยต่างชาติเลย จุดนี้แหละที่ผมคิดว่าทำให้ผมได้เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์”

 

แม้ว่าก่อนเดินทางไปแข่งขัน “ซิดนีย์เกมส์” วิจารณ์จะถูกมองว่าเป็นนักมวย “ไม้ประดับ” ของทีมก็ตาม แต่เจ้าตัวมั่นใจลึกๆ ว่า ยังไงต้องได้เหรียญใดเหรียญหนึ่ง

 

“ผมตั้งใจมาก การเจอกับนักมวยแข็งแกร่งจากการไปตระเวนแข่งขัน ทำให้ผมมั่นใจมาก อย่างนักมวยคิวบาที่เป็นแชมป์โลกซึ่งผมเอาชนะเค้าในรอบชิงเหรียญทองแดงนั้น ก่อนหน้านี้เจอกันที่คิวบาในการแข่งขันรายการหนึ่ง ผมแเพ้เค้า แต่ผมคิดในใจว่า ถ้าเจอกันอีก ผมไม่แพ้แน่ เพราะรู้วิธีที่จะเอาชนะเค้า

 

อีกทั้งที่แพ้เค้าก็เพราะแข่งในบ้านเค้า และก็มาเจอกันจริงๆ ที่ซิดนีย์ ก่อนขึ้นเวที มีแต่คนบอกว่า ผมแพ้แน่ ไม่มีใครกล้าคิดว่าผมจะเป็นฝ่ายชนะเลย เพราะเค้ามีดีกรีเป็นถึงแชมป์โลก ส่วนผมเหมือนมวยโนเนม ไม่มีดีกรีระดับโลกอะไรกับเขาเลย แต่ผมมั่นใจว่าผมเอาชนะได้แน่ และก็เป็นไปตามที่ผมคาด”

 

หลังจากเอาชนะคิวบาได้ ก็ไม่มีนักชกหน้าไหนหยุดความเก่งกาจของหนุ่มวัย 24 จากประเทศไทยได้แล้ว วิจารณ์สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักชกไทยรายที่สองที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ต่อจาก สมรักษ์ คำสิงห์

 

แน่นอนว่า จากเด็กบ้านนอกในจังหวัดเล็กๆ อย่าง สุโขทัย สู่วีรบุรุษของคนไทยทั้งประเทศ ชีวิตของวิจารณ์พลิกผันชั่วข้ามคืน ถนนทุกสายมุ่งสู่นักชกฮีโร่รายนี้พร้อมกับเครือญาติพี่น้องทุกคน เรียกว่า “หัวกระไดบ้านไม่แห้ง” กันเลย โดยเฉพาะภรรยาสาว “เก๋” จุฬาพร ที่เพิ่งแต่งงานกันได้แค่ปีเดียว เจอศึกหนักแบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทั้งโทรศัพท์และการเข้าไปหาถึงห้องพักชองบรรดาผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ “สื่อ” แบบทั้งวันทั้งคืน

“ในใจหนูตอนนั้นอยากให้เค้าได้แค่เหรียญทองแดงก็พอแล้ว จะได้ไม่มีใครมาสนใจมากนัก เพราะแค่เค้าได้เข้าชิงเหรียญทองแดง หนูก็รับโทรศัพท์ทั้งวันแล้ว” คู่ชีวิตของวิจารณ์สารภาพความคิดที่อยู่ในใจเมื่อ 14 ปีที่แล้วให้ฟัง
หลังจากกลับมาเมืองไทย วิจารณ์ซึ่งเป็นนักกีฬาคนเดียวของไทยที่ได้เหรียญทองจาก “ซิดนีย์เกมส์” ต้องเดินสายออกงานนานนับเดือน ชื่อเสียง เงินทอง หลั่งไหลถาโถมมาจนแทบจะรับมือไม่ไหว ต้องให้ผู้ใหญ่ในวงการมวย รวมถึงภรรยา ช่วยจัดการเรื่องเงินทองอย่างรัดกุม โดยวิจารณ์ได้รับเงินสดจากความสำเร็จราว 20 ล้านบาท พร้อมกับบ้าน รถ และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงได้ติดยศเป็นนายร้อยตำรวจ หลังจากก่อนหน้านี้เป็นนายสิบตำรวจ

 

“ผมมีตัวอย่างทั้งที่ดีและไม่ดีจากนักมวยรุ่นพี่ ทำให้ผมต้องพยายามดูแลและจัดระเบียบเรื่องเหล่านี้ให้ดี ผมตั้งใจไว้แล้วว่า จะไม่ทำตัวอย่างรุ่นพี่ที่ไม่ดี ผมคิดว่า หากผมอยู่ในวงการมวยต่อไป หรืออยู่ในวงการบันเทิงที่เคยไปเล่นหนังอยู่เรื่องหนึ่ง ผมอาจจะหลงระเริงได้ ก็เลยคิดออกจากตรงนี้ เงินที่ได้มาก็เอาไปลงทุนเปิดร้านผ้าไหมที่ถนนสุขาภิบาลให้เก๋ บางส่วนเอาไปซื้อที่ดินเก็บไว้ ผมพักผ่อนสบายๆ อยู่ปีสองปีก่อนจะลองกลับไปชกมวยใหม่

 

แต่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่มีความอยาก ไม่มีความกระตือรือร้น มันเหมือนกับว่าเราถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ก็เลยไม่ฝืน เลิกชกไปเลย ส่วนร้านผ้าไหมเปิดขายได้ 2-3 ปีก็เลิก รู้สึกเบื่อกรุงเทพฯที่อยู่มา 15 ปี เลยคุยกันกับเก๋ที่เป็นคนสุโขทัยเหมือนกันว่ากลับไปอยู่บ้านดีกว่าเพราะเราสองคนชอบชีวิตเรียบง่ายกัน ผมเลยขอย้ายไปประจำอยู่ที่อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เพราะห่างจากบ้านที่อยู่อำเภอศรีสัชณาลัยแค่ 30 กิโลเมตร”

OLY2000-BOX-51KG-FINAL-KAZ-THA-01

แต่ก่อนที่จะย้ายกลับต่างจังหวัดด้วยกันนั้น มีเรื่องราวที่ทำให้ชีวิตคู่ “สะดุด” อยู่พักหนึ่ง ซึ่งอาจจะมาจากความเก็บกดจากการฝึกซ้อมมาอย่างหนัก รวมถึงความสำเร็จที่ได้มาจนล้นทะลัก ก็เลยทำให้วิจารณ์อยากปลดปล่อย เข้าไปอยู่ในวังวนของนักท่องราตรี

 

“ตั้งแต่ที่เค้าได้เหรียญทอง เราก็แทบจะไม่ได้มีเวลาคุยกันเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้โทรศัพท์คุยกันทุกวันที่เค้าไปเก็บตัวต่างประเทศ แม้แต่ตอนอยู่ซิดนีย์ก็โทรฯคุยกันทุกวัน จนกระทั่งวันที่ได้เหรียญทอง เค้าไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย เราก็เข้าใจว่า เค้าไม่มีเวลา กลับมาก็เดินสายโชว์ตัวตลอด เก๋ออกงานกับเค้าบ้างบางงาน กลายเป็นคนดังไปเลย มีคนมาขอลายเซ็นต์ด้วย  แต่ก็แทบจะไม่มีเวลาคุยกันเลยนะ เพราะกลับมาถึงห้องพักต่างคนต่างเหนื่อย

 

หลับกันเป็นตาย พอหมดงานโชว์ตัว เค้าเริ่มเที่ยว ไปไหนมาไหนไม่บอก บางทีปิดมือถือหนีเที่ยว ทำอย่างนี้เป็นเดือนๆ เก๋ก็เริ่มคิดมาก กลัวว่าเค้าจะเหมือนกับนักมวยหลายๆ คนที่เที่ยวสำมะเลเทเมาแล้วกู่ไม่กลับ ตอนที่เที่ยวแรกๆ ทะเลาะกันบ่อยมาก แต่เราก็พยายามใจเย็น ต้องรักษาชีวิตคู่ไว้ให้ได้ จนวันหนึ่งมาคุยกันว่าน่าจะกลับบ้าน เพราะครอบครัวเก๋มีสวนส้มอยู่ กลับมาซื้อที่ดินทำสวนส้มกัน  หลังจากย้ายกลับมาอยู่บ้าน เค้าก็กลับมาเป็นคนเดิม”

 

ตอนหนีเที่ยว “จารณ์” มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาด้วยไหม?

“เรื่องมีผู้หญิงอื่นนี่ ไม่ชัดเจนนะ ไม่เคยเห็นเป็นตัวเป็นตน โทรศัพท์ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดสังเกตุ ถ้าเค้ามีผู้หญิงก็คงแค่เที่ยวธรรมดาๆ ไม่ผูกพันอะไร แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว พอกลับมาต่างจังหวัด เค้าก็เป็นคนน่ารักเหมือนเดิม เป็นแฟมิลี่แมน”

 

วิจารณ์ที่ปัจจุบันมียศเป็น พ.ต.ท. ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย โดยวันจันทร์-ศุกร์ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ขณะที่ภรรยาไปดูแลสวนส้มที่ปลูกไว้จำนวน 40 ไร่ที่สุโขทัย  ส่วนเสาร์-อาทิตย์ทั้งคู่ก็จะเข้าไปดูแลและนอนค้างที่สวนส้มด้วยกัน

 

วิจารณ์เคยเข้าไปช่วยเป็นโค้ชให้นักมวยทีมชาติอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ต้องถอนตัวออกมา เพราะไม่มีนักมวยของทีมตำรวจติดทีมชาติเลย ทำให้ไม่สะดวกที่จะขอตัวจากต้นสังกัดไปคุมทีม

 

“ผมชอบใช้ชีวิตอย่างนี้นะ  ชอบอยู่กับสวนกับไร่ มีความสุขมาก แถมมีรายได้อีกด้วย ขนาดผมจ้างคนงานทำ ไม่ได้ลงมือเหมือนกับเจ้าของสวนคนอื่นๆ ยังมีรายได้ต่อเดือนพอกินพอใช้และเหลือเก็บด้วยแหละ ปีนึงลงทุน 3 แสนบาท แต่มีรายได้เข้ามา 5 แสนบาท”

 

วิจารณ์  บอกว่า รายได้ที่เป็นเงินเดือนประจำทั้งรับราชการรวมถึงเงินเดือนที่เป็นรางวัลซึ่งได้จากคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯและจาก “โอสถสภา” เมื่อบวกกับรายได้จากการทำสวนส้มแล้วเดือนนึงมีเงินเข้ากระเป๋าร่วมๆ แสนบาทเลยทีเดียว

 

“ชีวิตผมพอแล้ว แค่นี้มีความสุขดี ไม่ชอบความวุ่นวาย”

 

สมฉายา “อิกคิวซัง” จริงๆ.

 

 

@ ขอขอบคุณ ข้อมูลข่าว-ภาพ -คลิป จาก : www.sportclassic.in.th-www.Siamsport-www.matichon.co.th

 

 

 

 

 

 

 

 

เชิญแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ

comments